Ads 468x60px

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


เคยสงสัยกันไหมว่า สายชาร์จที่มากับ iPhone หรือ iPad นั้น มีข้อแตกต่างกันตรงไหน และเรามีวิธีถนอมสายชาร์จเหล่านี้กันอย่างไร ให้คงอยู่ได้นาน
สัปดาห์นี้ ทิปวันอาทิตย์ของ iPhone4Society จึงขอนำเสนอเทคนิคการดูแลรักษา และชาร์จ iPhone หรือ iPad มาแนะนำกันครับ



Image


ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สายชาร์จของอุปกรณ์พกพาของ Apple จะมีส่วนประกอบหลัก ๆ 2 ส่วน ได้แก่

>>> "สาย USB" สีขาว ที่หัวด้านหนึ่งเป็น USB ไว้เสียบกับคอม และอีกด้านเป็น Dock Connector แบน ๆ สำหรับเสียบเข้าอุปกรณ์ของเรา
>>> ปลั๊ก Adapter สำหรับต่อสาย USB เพื่อเสียบกับไฟบ้าน


โดยสายชาร์จที่มาในกล่องของอุปกรณ์แต่ละตัวนั้นมีข้อแตกต่างกันอยู่ ดังนี้

>>> ตระกูล iPod ทั้งหมด :
 มีสาย USB มาให้ในกล่องอย่างเดียว เวลาชาร์จต้องเสียบกับคอม หากจะเสียบไฟบ้าน ต้องซื้อ Adapter เพิ่มเอาเอง
>>> iPhone : มีสาย USB และปลั๊ก Adapter (บนปลั๊กจะเขียนว่า จ่ายกำลังไฟ 5 วัตต์)
>>> iPad : มีสาย USB และปลั๊ก Adapter (บนปลั๊กจะเขียนว่า จ่ายกำลังไฟ 10 วัตต์)


Image


ปัญหามันอยู่ที่เจ้า Adapter นี่แหละครับ ที่ Adapter ของ iPhone และ iPad มีกำลังไฟต่างกัน ถึงแม้ว่าภายนอก จะดูเหมือนเป็นอย่างเดียวกันก็ตาม

นั่น ก็เนื่องมาจากความจุแบตเตอรีของ iPhone มีเพียงประมาณ 1,400 mAh ในขณะที่ iPad 2 นั้นจุกว่า 6,900 mAh และ iPad 3 ก็จุถึง 11,560 mAh
ใหญ่กว่า iPhone 4 ราว 8 เท่า!!!


การใช้ปลั๊ก Adapter ที่กำลังไฟต่ำ ก็จะทำให้ชาร์จอุปกรณ์ที่กินไฟสูงอย่าง iPad ไม่เข้าง่าย ๆ ผลที่ออกมาเลยเป็นดังต่อไปนี้


[ iPhone และ iPod ทุกรุ่น ]


สามารถเสียบ Adapter iPad ได้ จะชาร์จได้ไวขึ้น แต่อาจจะทำให้แบตเสื่อมได้ในระยะยาว เนื่องจากกำลังไฟสูงกว่าที่ึควรจะเป็น

อุปกรณ์เสริมของ iPhone นั้นมีมากมายตามท้องตลาด แต่ให้ระวังที่ชาร์จของจีนที่เกรดต่ำสักนิด เพราะอาจเสี่ยงต่อการระเบิดได้ครับ


ถ้า ต้องการจะซื้อที่ชาร์จเพิ่ม แต่ที่ชาร์จของ Apple ในราคา 1,090 บาทนั้นแพงเกินไป ให้ลองดูของญี่ปุ่นตามร้านกิฟต์ช็อปต่าง ๆ หรือที่ตัวแทนจำหน่ายดูครับ
จะมีตั้งแต่ราคา 300-500 บาทให้เลือกสรรกันเลย แต่ดูที่มาให้ดีสักนิดด้วยครับ



[ iPad ]


เนื่องจากความจุของ iPad ที่สูงกว่ามาก ดังนั้น หากนำ Adapter iPhone มาใช้ จะชาร์จไฟได้ช้ามาก และบนหน้าจอ iPad จะขึ้นว่า "ไม่ได้ชาร์จอยู่" (Not Charging)
เพราะหากเล่นไปด้วย แบตจะค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากกำลังไฟของ Adapter iPhone ไม่สูงพอกับอัตราการกินไฟของ iPad

ใน กรณีของ iPad หากไม่มีที่ชาร์จจริง ๆ ก็สามารถนำไปเสียบกับคอมพิวเตอร์แก้ขัดได้ แต่ต้องปิดหน้าจอเครื่องไว้ตลอดเวลาชาร์จด้วย มิเช่นนั้นไฟจะแทบไม่เข้าเลยครับ

และสายชาร์จที่มาในกล่องของ iPad (เฉพาะ The New iPad) จะช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรใช้ให้ถูกอัน ทั้งสายและปลั๊กครับ

สำหรับ The New iPad ที่เพิ่งออกใหม่นั้น ควรใช้สายของมันเองที่มากับกล่อง เพราะหากนำสายของ iPad 2 หรือ iPhone มาใช้ ความเร็วในการชาร์จจะตกลงถึง 30-40%
ทีเดียว!!! ไม่เชื่อก็ลองดูได้ครับ



***สรุป ง่าย ๆ คือ ใช้ที่ชาร์จให้ถูกอัน อันไหนมากับเครื่องไหน ก็ใช้กับเครื่องนั้น ยิ่งกับ iPad แล้ว ไม่ควรเอาที่ชาร์จหรือสายของ iPhone มาใช้เด็ดขาด หากไม่จำเป็น***

ก่อนจะไป เราขอฝากเทคนิคการดูแลรักษาสายชาร์จและบทความน่าสนใจไว้ครับ

>>> ควรพันสายชาร์จหลวม ๆ ไปในทางเดียวกัน ก่อนทำการเก็บ ไม่ใช่ว่าใช้เสร็จแล้วก็โยน ๆ ไว้
>>> อย่างอสายชาร์จในบริเวณโคน หรือปลายสาย เพราะสายอาจฉีกขาดได้ง่าย
>>> ไม่ควรเสียบสายชาร์จไว้กับ Adapter ตลอดเวลา อันนี้เห็นหลายคนมากครับ เสียบค้างไว้ แล้วพัน ๆ โยนใส่กระเป๋า แบบนี้สายขาดในและชำรุดง่ายมากเลย
>>> ชาร์จไฟเมื่อไรก็ได้ที่อยากชาร์จ และเสียบค้างไว้ทั้งคืนก็ได้ (แต่จะเปลืองค่าไฟ ฮ่าๆ) เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีระบบตัดไฟไม่ให้เข้าแบตเตอรีเมื่อแบตเต็ม อยู่แล้ว
>>> เล่นไปชาร์จไปก็ทำได้ แต่เครื่องอาจจะร้อน เพราะมีพลังงานหมุนเวียนในแบตเตอรีเยอะจนเกิดความร้อน วิธีแก้คือ หยุดเล่นได้แล้ว ไปพักบ้าง!


ที่มา : smart-mobile

0 ความคิดเห็น: